วันพุธที่ 31 กรกฎาคม 2556 เวลา 14:52 น.
เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายวีระ ศรีวัฒนตระกูล ผู้ว่าราชการจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากสำนักพระราชวังว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จออกจากโรงพยาบาลศิริราช ในเวลาประมาณ 16.00 น.วันที่ 1 สิงหาคมนี้ เพื่อเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
นายวีระ กล่าวว่า สำหรับการเตรียมความพร้อมของจังหวัดขณะนี้ได้สั่งทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ ประดับธงชาติ ธงตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ทั้ง 2 พระองค์ บริเวณเกาะกลางถนนเพชรเกษม ตั้งแต่ท่าอากาศยานหัวหิน ถึงบริเวณหน้าพระราชวังไกลกังวล และขอให้ทุกหน่วยงานในพื้นที่ อำนายความสะดวกให้กับประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางมาเฝ้ารับเสด็จที่อำเภอหัวหินจำนวนหลายหมื่นคนเพื่อชื่นชมพระบารมีและถวายความจงรักภักดี
พล.ต.ต.ธเนษฐ สุนทรสุข ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ กล่าวว่า ได้เรียกประชุมตำรวจภูธรจังหวัดเพื่อเตรียมการด้านการถวายความปลอดภัย และการจัดการจราจรในเส้นทางขบวนเสด็จฯ ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 500 นาย สำหรับในส่วนของการจัดการจราจรนั้นได้มีการวางแผนเรื่องจุดจอดรถของประชาชนที่รอเฝ้ารับเสด็จฯแล้วอย่างน้อย 11 จุด
นพ.พิภพ เจนสุทธิเวชกุล สาธารณสุขจังหวัด ( สสจ.) ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า กล่าวว่า ได้เตรียมความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุขโดยระดมทีมแพทย์ พยาบาลจากโรงพยาบาลหัวหิน โรงพยาบาลปราณบุรี โรงพยาบาลสามร้อยยอด โรงพยาบาลกุยบุรี และโรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ เพื่อจัดทีมปฐมพยาบาลให้เพียงพอกับการดูแลประชาชนจำนวนมากที่จะเดินทางมาเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่จะเสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานมาประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล
ทางด้าน ศ.คลีนิค นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ว่า โดยรวมแล้วพระอาการดีขึ้นมาก ทรงมีพระราชประสงค์แปรพระราชฐาน ไปประทับที่วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อทรงเปลี่ยนพระอิริยาบถให้ทรงมีพระวรกายที่แข็งแรงยิ่งขึ้น อีกทั้งให้ทรงพระสำราญ ส่วนพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ นั้น โดยรวมแล้วพระอาการดีขึ้น ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง สามารถพระดำเนินได้ดี แต่เพื่อความไม่ประมาททางรพ.ศิริราช ได้จัดทีมแพทย์ และพยาบาลที่ถวายการรักษาทั้งหมด ติดตามไปถวายการดูแล พร้อมกับเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ไว้ที่วังไกลกังวล และที่รพ.หัวหินไว้พร้อมแล้ว
ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ รพ.ศิริราช เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2552 โดยสำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2552 ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระปรอท (เป็นไข้) และมีพระอาการอ่อนเพลีย ตลอดจนเสวยพระกระยาหารได้น้อยลง คณะแพทย์จึงได้กราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ รพ.ศิริราช เพื่อตรวจหาสาเหตุ พร้อมกับถวายการรักษาด้วยน้ำเกลือทางหลอดพระโลหิต ร่วมกับยาปฏิชีวนะ
ในวันนั้น เหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างห่วงใยในพระอาการประชวรจึงพร้อมใจกันเดินทางมาติดตามพระอาการประชวรที่รพ.ศิริราชอย่างเนืองแน่น ทั้งจากกรุงเทพฯ ต่างจังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงต่างประเทศ เพื่อถวายพระพรให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์
ตลอดระยะเวลาที่ประทับ ณ รพ.ศิริราช มิได้ทรงว่างเว้นจากการทรงงาน ยังทรงติดตามการดำเนินงานของโครงการพระราชดำริต่างๆ อาทิ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน พร้อมมีรับสั่งว่า "อยู่โรงพยาบาลมา 3 ปีไม่ได้ไปไหน แต่ถ้าได้ไปไหนบ้างก็จะช่วยได้บ้าง ถ้าออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่ก็คงจะช่วยได้มากกว่านี้"
นอกจากนี้ เมื่อมีพระวรกายแข็งแรง พระองค์จะทรงเปลี่ยนพระอิริยาบทในสถานที่ต่างๆ อาทิ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ สถานตากอากาศบางปู เป็นต้น โดยทรงมีสีพระพักตร์แจ่มใส ทรงแย้มพระสรวล โบกพระหัตถ์ทักทายประชาชน สร้างความปลื้มปิติให้กับประชาชนที่เฝ้าฯ รับเสด็จเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ รพ.ศิริราชเพื่อถวายการดูแลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิดด้วย
จนกระทั่ง เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2555 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ว่า เมื่อเช้ามืดของวันที่ 21 ก.ค. 2555 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระดำเนินออกพระกำลัง ทรงรู้สึกเวียนพระเศียร และทรงเซเล็กน้อย แต่ทรงรู้สึกพระองค์ดี รับสั่งได้ คณะแพทย์จึงถวายการตรวจพระวรกาย ตรวจพระสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก พบว่ามีการขาดเลือดเล็กน้อยที่พระสมองส่วนหลังด้านขวา ไม่พบพระโลหิตออกในพระสมอง คณะแพทย์จึงขอพระราชทานพระราชานุญาตถวายพระโอสถทางหลอดพระโลหิต และติดตามพระอาการอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งขอให้งดพระราชกิจชั่วระยะเวลาหนึ่ง
พสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าต่างเป็นกังวลและห่วงใยในพระสุขภาพของทั้งสองพระองค์จึงพร้อมใจกันมาถวายพระพร ต่างนำแจกันดอกไม้ ผลไม้ พระพุทธรูป รวมทั้งของดีประจำท้องถิ่น และประจำจังหวัดจากทั่วประเทศ มาทูลเกล้าฯ ถวายทั้งสองพระองค์ไม่ขาดสายและต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน รวมทั้งในทุกวันอาทิตย์ เหล่าพุทธศาสนิกชนต่างพร้อมใจกันมาสวดมนต์ถวายพระพรให้ทั้งสองพระองค์ทรงหายจากพระอาการประชวรและมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์อยู่เป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยไปตราบนานเท่านาน
จนกระทั่งถึงวันที่เสด็จออกจากรพ.ศิริราชกลับไปประทับ ณ วังไกลกังวล อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ รวมระยะเวลาประทับ ณ รพ.ศิริราช ของทั้งสองพระองค์ ประมาณ 3 ปี 10 เดือน โดยมีแถลงการณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาประทับ ณ รพ.ศิริราช รวมทั้งหมด 65 ฉบับ และแถลงการณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระประชวรขณะประทับ ณ รพ.ศิริราช รวมทั้งหมด 14 ฉบับ
ส่วนที่จังหวัดสตูล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2556 ที่ห้องประชุมโรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ หมู่ 4 (บ้านขุมทรัพย์) ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล พลเอกหม่อมหลวงทศนวอมร เทวกุล รองสมุหราชองครักษ์ พร้อมด้วยคณะฯ ได้เดินทางมาตรวจเยี่ยมความพร้อมสถานที่การเตรียมรับเสด็จโดยมีนายอุทาร พิชญาภรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสตูล พร้อมด้วย นายสำราญ วิจิตรพันธ์ ประชาสัมพันธ์จังหวัดสตูล และหัวหน้าส่วนที่เกี่ยวข้องให้การต้อนรับ ทั้งนี้ รองสมุหราชองครักษ์ กล่าวว่า วันที่ 29 ส.ค.2556 นี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี จะเสด็จเยี่ยมชุด พอ.สว. คณะกรรมการ และสมาชิก พอ.สว.จังหวัดสตูล ณ โรงเรียนทุ่งหว้าวรวิทย์ หมู่ 4 (บ้านขุมทรัพย์) ต.ป่าแก่บ่อหิน อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล และจากการลงพื้นที่มาตรวจสถานที่แล้ว พบว่า มีความพร้อม การจัดกิจกรรมก็คงจะเป็นไปด้วยดี โดยสิ่งที่ย้ำให้ทางจังหวัดสตูลดำเนินการคือทุกอย่างต้องสมพระเกียรติ ไม่มากไม่น้อย ไม่รบกวนผู้ใดให้เดือดร้อน ในเบื้องต้นให้จังหวัดสตูล ได้ออกคำสั่งมอบหมายผู้เกี่ยวข้อง และหน่วยงานต่างๆ รับผิดชอบตามสัดส่วน การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนี้ ถือว่าเป็นมงคลยิ่งสำหรับจังหวัดสตูล.